สารจากประธานกรรมการบริษัท

เรียน ท่านผู้ถือหุ้นทุกท่าน

        ปี 2565 ที่ผ่านมานั้น มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นหลายเหตุการณ์ และหนึ่งในเหตุการณ์ที่สำคัญและมีผลกระทบในวงกว้างนั้นคือ สถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน ซึ่งได้ทำให้เกิดผลกระทบในด้านพลังงานเกิดเป็นวิกฤตพลังงานไปทั่วโลก ทั้งในด้านปริมาณและราคาพลังงานที่มีความผันผวน เนื่องจากรัสเซียเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของโลก โดยก่อนที่สงครามจะเกิดขึ้น รัสเซียมีกำลังผลิตน้ำมันเป็นอันดับที่สองของโลก ด้วยกำลังผลิตที่ประมาณ 11 ล้านบาร์เรลต่อวัน รวมถึงพลังงานก๊าซธรรมชาติอีกกว่า 40% ของการอุปโภคบริโภคทั่วยุโรปก็พึ่งพาก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียเช่นกัน จึงทำให้หลายประเทศทั่วโลกต้องปรับตัวในการจัดหาพลังงานมาทดแทนส่วนที่หายไปจากประเทศรัสเซีย โดยสหภาพยุโรปและหลายประเทศในยุโรปนั้นเมื่อปริมาณน้ำมันและก๊าซธรรมชาติลดน้อยลง จึงเข้ามาซื้อจากแหล่งผลิตในเอเชียและตะวันออกกลาง สำหรับประเทศไทยแม้จะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงเพราะไม่ได้พึ่งพาพลังงานจากรัสเซียเป็นหลัก แต่สถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน ยังคงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะราคาพลังงานที่ผันผวนจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตและภาคธุรกิจของประเทศไทยได้

        ในส่วนของการดำเนินงานของบริษัท สากล เอนเนอยี จำกัด (มหาชน) “บริษัทฯ” ในปี 2565 ที่ผ่านมานั้น จะเห็นได้ว่าสัดส่วนรายได้ของบริษัทฯ มีการเปลี่ยนแปลงไปจากในอดีต ซึ่งเคยพึ่งพารายได้จากธุรกิจสถานีก๊าซธรรมชาติหลักโดยเอกชนกว่า 50% ของรายได้รวม แต่ปีที่ผ่านมานั้นลดลงมาอยู่ที่ 25% โดยสัดส่วนรายได้ที่เพิ่มขึ้นมาทดแทนคือธุรกิจที่บริษัทฯ ได้ลงทุนและเริ่มรับรู้รายได้ตามแผนธุรกิจ เช่น ธุรกิจโรงไฟฟ้าชีวมวล และธุรกิจบริหารจัดการของเสียหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้วที่ไม่เป็นอันตราย โดยการคัดแยกและผลิตเป็นเชื้อเพลิงขยะ RDF รวมถึงธุรกิจ Financial Technology ซึ่งในอนาคดจะเป็นรายได้หลักทดแทนรายได้จากธุรกิจสถานีก๊าซธรรมชาติหลักโดยเอกชนที่กำลังจะหมดอายุสัญญาในปี 2572 หรืออีกใน 6 ปีข้างหน้า อย่างไรก็ดีในปี 2565 ที่ผ่านมานั้น บริษัทฯ มีการลงทุนที่สำคัญในการขยายธุรกิจกำจัดขยะและแปรรูปเชื้อเพลิง โดยการจัดตั้งโรงงานแห่งใหม่ซึ่งมีกำลังผลิตเชื้อเพลิงขยะ RDF กว่า 300,000 ตันต่อปี โดยมีแผนที่จะก่อสร้างให้แล้วเสร็จในต้นปี 2566 และจะเริ่มส่งเชื้อเพลิงตามสัญญาให้กับบริษัท เอส ซี ไอ อีโค่ เซอร์วิสเซส จำกัด สัญญาที่จะเริ่มในช่วงต้นปีเช่นเดียวกัน ซึ่งมีสัญญาในการส่งมอบเชื้อเพลิงเป็นจำนวนประมาณ 135,000 ตันต่อปี โดยมีระยะเวลา 3 ปี คิดเป็นมูลค่าตามสัญญากว่า 1 พันล้านบาท การลงทุนในโรงงานใหม่แห่งนี้ นอกเหนือไปจากเป็นการขยายธุรกิจตามนโยบายการลงทุนและวิสัยทัศน์ของบริษัทฯ ในเรื่องธุรกิจพลังงานสะอาดแล้ว บริษัทฯ ยังมีความภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ที่มุ่งเน้นการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรเป็นรูปแบบเศรษฐกิจที่ช่วยแก้ไขปัญหาโลกร้อนและภาวะเรือนกระจก ซึ่งปัจจุบันได้รับการสนับสนุนและส่งเสริมจากทั่วโลกรวมถึงในประเทศไทยเองด้วย หากจะกล่าวถึงการส่งเสริมที่เป็นรูปธรรมในส่วนที่เกี่ยวข้องกับบริษัทฯ คือ การรับรองคาร์บอนเครดิตของธุรกิจในกลุ่มบริษัทฯ โดยปัจจุบันโรงไฟฟ้าชีวมวลแม่กระทิงได้ขึ้นทะเบียนในโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (T-VER) และได้รับการตรวจสอบและรับรองในการขึ้นทะเบียนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยได้รับการประเมินเบื้องต้นถึงปริมาณการลดก๊าซเรือนกระจกที่ประมาณ 33,000 ตันต่อปี ซึ่งปัจจุบันตลาดซื้อ-ขายคาร์บอนเครดิตกำลังอยู่ในช่วงเติบโตทั้งในตลาดต่างประเทศและในประเทศ ซึ่งจะเป็นลมใต้ปีกช่วยให้บริษัทฯ มีรายได้เพิ่มจากธุรกิจพลังงานสะอาดที่เป็นกลยุทธ์หลักในการลงทุนต่อไป

        ในนามตัวแทนของ บริษัท สากล เอนเนอยี จำกัด (มหาชน) ขอขอบคุณท่านผู้ถือหุ้น ลูกค้า คู่ค้า และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกท่านเป็นอย่างสูงที่ได้ให้การสนับสนุน และให้ความช่วยเหลือในการทำงานของบริษัทฯ เป็นอย่างดี

        สุดท้ายนี้ บริษัทฯ ขอยืนยันและให้ความเชื่อมั่นว่าจะบริหารงานภายใต้หลักธรรมาภิบาลที่ดี และการจัดการที่ดีเพื่อความยั่งยืนของบริษัทฯ อย่างต่อเนื่องตลอดไป และขอถือโอกาสนี้ขอบคุณคณะกรรมการบริษัท คณะผู้บริหาร พนักงาน และบุคลากรเจ้าหน้าที่ของบริษัทฯ ทุกท่านที่ร่วมมือร่วมใจปฏิบัติงานอย่างเต็มความสามารถ และรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตนเองอย่างดี ช่วยให้บริษัทฯ สามารถผ่านคลื่นวิกฤตทางเศรษฐกิจและสังคมในปี 2565 มาได้ และด้วยความร่วมมือร่วมใจนี้ผมเชื่อว่าเราจะทำให้องค์กรเติบโตขึ้นอย่างมั่นคงและยั่งยืนไปด้วยกัน

 

 

ศาสตราจารย์กิตติคุณ  ดร.ดิเรก  ลาวัณย์ศิริ
ประธานกรรมการบริษัท